กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืออะไร?
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือกองทุนที่ลูกจ้างและนายจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
- ส่งเสริมการออมระยะยาว เพื่อเป็นประโยชน์ในยามชราภาพของลูกจ้าง
- เป็นหลักประกันของครอบครัวกรณีลูกจ้างออกจากงาน เกษียณอายุ ออกจากกองทุนหรือ เสียชีวิต
- เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เพิ่มแรงจูงใจให้ลูกจ้างอยู่กับนายจ้างนานขึ้น
องค์ประกอบของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

เงินสะสม ที่สมาชิกสะสมไว้ทุกๆ ครั้งที่ได้รับค่าจ้าง
โดยคาดหวังว่าจะเก็บไว้ใช้เมื่อออกจากงาน
หรือเมื่อตอนที่เกษียณอายุอัตราเงินสะสมเริ่มตั้งแต่
2%-15% ของค่าจ้าง
เงินสมทบ ที่นายจ้างสมทบเข้าไปในกองทุนพร้อมๆกับเงินสะสม
โดยถือได้ว่าเป็นสวัสดิการประเภทหนึ่งที่นายจ้างผู้มองการณ์ไกลมอบให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกองทุน
เพื่อให้พนักงานมี
เงินก้อนไว้ใช้เมื่อไม่ได้ทำงานกับนายจ้างแล้ว
อัตราเงินสมทบเริ่มตั้งแต่ 2%-15%
ของค่าจ้าง
ผลประโยชน์ของเงินกองทุน เป็นส่วนสุดท้ายที่นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญยิ่ง
ซึ่งงอกเงยมาจากการบริหารกองทุนของบริษัทจัดการ
โครงสร้างการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

สำหรับนายจ้าง
1.
ทำให้ลูกจ้างมีความรู้สึกที่ดีและผูกพันต่อนายจ้าง
ส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และขจัดปัญหาการพิพาทแรงงาน
2. ลดอัตราการลาออกจากงานของลูกจ้าง
และสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานกับนายจ้างนานๆ
3.
สร้างภาพพจน์ที่ดีให้แก่แก่นายจ้างว่าเป็นบริษัทที่มั่นคง
และมีสวัสดิการที่ดีให้แก่ลูกจ้าง
4.
ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากเงินสมทบที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุน
โดยสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกินร้อยละ 15
ของค่าจ้างของลูกจ้างแต่ละราย
สำหรับลูกจ้าง
1.
เสมือนได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นจากเงินสมทบที่นายจ้างจ่ายให้
เป็นสวัสดิการเงินได้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อออกจากงานหรือเกษียณอายุ
2. เป็นหลักประกันแก่ครอบครัว
กรณีสมาชิกทุพพลภาพหรือเสียชีวิต
3.
เป็นโอกาสออมเงินเพื่อตนเองและครอบครัวเพิ่มขึ้น
4.
เงินออมอยู่ภายใต้การบริหารของมืออาชีพ
5.
ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
–
เงินสะสมสามารถนำมาหักลดหย่อนในการคำนวณเงินได้เพื่อเสียภาษีตามที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาท
– ส่วนที่เกิน 10,000
บาทแต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน
490,000 บาท
ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีรวม
500,000 บาท
– เมื่อสมาชิกออกจากงาน
เงินที่นำมาคำนวณภาษี ประกอบด้วยเงิน 3
ส่วนคือ
1) ผลประโยชน์ของเงินสะสม
2) เงินสมทบของบริษัท
3) ผลประโยชน์ของเงินสมทบของบริษัท


ส่วนที่ 1 : ลดหย่อนได้ = 7,000 x อายุงาน
ส่วนที่ 2 : ที่เหลือหักออกอีกร้อยละ 50
เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายข้างต้น จะนำไปคำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แยกยื่นภาษี โดยไม่ต้องนำไปรวมกับรายได้อื่นเพื่อคำนวณภาษีอีก
• กรณีพิเศษ ยกเว้นภาษีทั้งจำนวน ในกรณีดังต่อไปนี้
1) ออกจากงานเมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และเป็นสมาชิกสมาชิกกองทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี ต่อเนื่องกัน (55+5)
2) ทุพพลภาพหรือเสียชีวิต